ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Theory of Cooperative or Collaborative Learning)



ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Theory of Cooperative or Collaborative Learning)


            สยุมพร จุ๋ม ศรีมุงคุณได้กล่าวถึงทฤษฎีนี้ว่า แนวคิดขอทฤษฏีนี้ คือ  การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 – 6 คน  ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม  โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน  ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้  การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นให้ผู้เรียนช่วยกันในการเรียนรู้ โดยมีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาอาศัยกันในการเรียนรู้  มีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด  มีการสัมพันธ์กัน  มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม  มีการวิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม  และมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบงานร่วมกัน ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ควรมีการประเมินทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ โดยวิธีการที่ หลากหลายและควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน  และครูควรจัดให้ผู้เรียนมีเวลาในการวิเคราะห์การทำงานกลุ่มและพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม  เพื่อให้กลุ่มมีโอกาสที่จะปรับปรุงส่วนบกพร่องของกลุ่มเดียว

            รังสิมา วงษ์ตระกูล ได้กล่าวถึงทฤษฎีนี้ว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือกันหรือการร่วมมือกันเรียนรู้ เป็นแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนได้ร่วมมือกันเรียนรู้และปฏิบัติกิจกรรมให้ประสบผลสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย  จึงถือได้ว่าการเรียนการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญรูปแบบหนึ่ง ซึ่งนักการศึกษาที่สำคัญในวงการศึกษาได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ดังนี้ค่ะ

            จอห์นสัน และจอห์นสัน ได้ให้ความรู้ของการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นการสร้างความสัมพันธ์ภายในกลุ่มผู้เรียนซึ่งต้องการการพึ่งพาและเกื้อกูลกัน(ล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จร่วมกัน),ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน,การใช้ทักษะปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล(การติดต่อสื่อสาร,ความเชื่อมั่น,ความเป็นผู้นำ,การตัดสินใจ,การลดความขัดแย้ง),การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด,และกระบวนการ(สิ่งที่สะท้อนกลับคือประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้นอย่างไรและดีขึ้นมากแค่ไหน(Johnson และ Johnson. Online.  2009)
            นอกจากของจอห์นสันแล้วคุณรู้มั้ยว่า ยังมีนักการศึกษาของไทยเราได้ให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้อีกนะค่ะ เช่น ของอาจารย์สุวิทย์ และอาจารย์อรทัย มูลคำได้ให้ความหมายไว้ว่า
            การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง กระบวนการการเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนได้ร่วมมือและช่วยเหลือกันในการเรียนรู้โดยแบ่งกลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกันออกเป็นกลุ่มเล็กๆ ซึ่งเป็นลักษณะการรวมกลุ่มอย่างมีโครงสร้างที่ชัดเจน มีการทำงานร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน มีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด

  แนวคิดในการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ

            Slavin   กล่าวว่า เป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนใช้ความสามารถเฉพาะตัวและศักยภาพในตนเองร่วมกันแก้ปัญหาต่างๆ ให้บรรลุผลสำเร็จได้โดยที่สมาชิกในกลุ่มตระหนักว่าแต่ละคนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม  ดังนั้น  ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของกลุ่ม   สมาชิกในกลุ่มต้องรับผิดชอบร่วมกันสมาชิกจะได้พูดคุยกัน  ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  ผู้เรียนจะได้ความรู้จากเพื่อน  และสิ่งที่เป็นผลพลอยได้จากการใช้วิธีสอนแบบร่วมมือกันเรียนอีกประการหนึ่ง  คือ การที่นักเรียนรู้สึกถึงคุณค่าของตนเองเพิ่มขึ้น  ทั้งนี้เพราะนักเรียนได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมกลุ่มซึ่งแต่ละคนจะมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของกลุ่ม

            Bruce และ Masah  ได้กล่าวว่า เทคนิคการร่วมมือกันเรียนรู้เป็นเทคนิคที่จะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งในด้านสติปัญญา  และด้านสังคม  ทั้งนี้เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม  การอยู่ร่วมกันในสังคมควรมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล  ซึ่งสามารถใช้เทคนิคการร่วมมือกันเรียนรู้ในการพัฒนาผู้เรียนในด้านสติปัญญาให้เกิดการเรียนรู้จนบรรลุถึงขีดความสามารถสูงสุดได้  โดยมีเพื่อนในวัยเดียวกัน  กลุ่มเดียวเป็นผู้คอยแนะนำหรือช่วยเหลือ  ทั้งนี้เนื่องจากผู้เรียนที่อยู่ในวัยเดียวกันย่อมจะมีภาษาที่ใช้ในการสื่อสารที่เข้าใจง่ายกว่าครูผู้สอนการร่วมมือกันเรียนรู้มีหลักที่ผู้สอนต้องคำนึงอยู่ 3 ประการ
            1) รางวัลหรือเป้าหมายของกลุ่ม
            2) ความหมายของแต่ละบุคคลในกลุ่ม
            3) สมาชิกในกลุ่มมีโอกาสในการช่วยให้กลุ่มประสบความสำเร็จเท่าเทียมกัน
ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนแบบร่วมมือ
            จากเนื้อหาข้างต้นเราพอที่จะทราบความหมาย และแนวคิดของการเรียนแบบร่วมมือไปกันบ้างแล้วพอสังเขป มาถึงในหัวข้อนี้จะเป็นการกล่าวถึง ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนแบบร่วมมือกันบ้าง ซึ่งทฤษฎีที่เกี่ยวข้องนั้นสามารถสรุปได้ 3 ทฤษฎีหลักๆดังนี้

1. ทฤษฎีกระบวนการกลุ่ม

             กระบวนการกลุ่มเป็นเรื่องของการทำงานของกลุ่มคน  ทฤษฎีด้านนี้มุ่งศึกษาเพื่อหาความรู้ที่จะนำไปใช้ในการปรับปรุง  หรือเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และพฤติกรรมของคน  อันจะเป็นประโยชน์ในด้านการสร้างเสริมความสัมพันธ์  และปรับปรุงการทำงานของกลุ่มให้มีประสิทธิภาพ  เนื้อหาของทฤษฎีนี้จึงมุ่งศึกษาถึงเรื่องธรรมชาติของคน  พฤติกรรมของคน  ธรรมชาติของกลุ่ม

2. ทฤษฎีด้านสติปัญญา

            Sutton กล่าวว่า ทฤษฎีด้านสติปัญญา สนับสนุนว่าการเรียนแบบร่วมมือเป็นวิธีการเรียนที่แบ่งปันประสบการณ์ของแต่ละบุคคลไปสู่กลุ่ม ซึ่งจะช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งนักเรียนที่เรียนเก่ง และนักเรียนที่เรียนช้า  เพราะนักเรียนที่เรียนเก่งจะได้รับประโยชน์ในการเรียนรู้ยิ่งขึ้นในการที่ตนเองได้อธิบาย  ชี้แจง  บทเรียนให้กับเพื่อน  ในขณะที่นักเรียนที่มีสติปัญญาต่ำ เรียนรู้ได้ช้า  ได้ประโยชน์จากการที่ได้แหล่งความรู้ที่มีค่าจากเพื่อนอีกแห่งนอกเหนือจากการสอน  นอกจากนี้การที่นักเรียนได้ทำงานร่วมกันทำให้เกิดความสนุกสนาน  ความอบอุ่น  ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  การพัฒนาทักษะทางสังคม  พัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักเรียนกับกลุ่มเพื่อน
            Piaget  กล่าวว่า การปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนในวัยเดียวกันเป็นสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม  ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ความคิดรวบยอดที่ต้องการเรียนได้อย่างดี

3.  ทฤษฎีเสริมแรงของสกินเนอร์

              สกินเนอร์  กล่าวว่า  พฤติกรรมส่วนมากของมนุษย์เป็นพฤติกรรม Operant Behavior ซึ่งสิ่งมีชีวิต (Organism) ทั้งคนและสัตว์เป็นผู้เริ่มที่จะกระทำต่อ (Operant) สิ่งแวดล้อมของตนเองดังนั้นการเรียนรู้แบบนี้บางครั้งเรียกว่า Instrumental Conditioning สกินเนอร์พบว่าถ้าต้องการให้ Operant Behavior คงอยู่ต่อไป จำเป็นต้องให้แรงเสริม สกินเนอร์ได้แบ่งแรงเสริมออกเป็น 2 ประเภทคือ
               1. แรงเสริมบวก (Positive Reinforcement) หมายถึง  สิ่งของ คำพูด หรือสภาพการณ์ที่จะช่วยให้แสดงพฤติกรรมโอเปอแรนต์เกิดขึ้นอีก หรือสิ่งทำให้เพิ่มความน่าจะเป็นไปได้(Probability) ของการเกิดพฤติกรรมโอเปอแรนต์
               2. แรงเสริมลบ (Negative Reinforcement)  หมายถึง การเปลี่ยนสภาพการณ์หรือเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมบางอย่างอาจจะทำให้อินทรีย์แสดงพฤติกรรมโอเปอแรนต์ได้ บางครั้งนักจิตวิทยาเรียกการเสริมแรงทางลบว่า Escape Conditioning
              สกินเนอร์มีความเชื่อมั่นว่า แรงเสริมเป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรม หรือการเรียนรู้ของนักเรียน

             http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=294321 ได้กล่าวถึงทฤษฎีนี้ว่า ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Theory of Cooperative or Collaborative Learning)  แนวคิดขอทฤษฏีนี้ คือ  การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 – 6 คน  ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม  โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน  ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้  การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นให้ผู้เรียนช่วยกันในการเรียนรู้ โดยมีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาอาศัยกันในการเรียนรู้  มีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด  มีการสัมพันธ์กัน  มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม  มีการวิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม  และมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบงานร่วมกัน ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ควรมีการประเมินทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ โดยวิธีการที่ หลากหลายและควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน  และครูควรจัดให้ผู้เรียนมีเวลาในการวิเคราะห์การทำงานกลุ่มและพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม  เพื่อให้กลุ่มมีโอกาสที่จะปรับปรุงส่วนบกพร่องของกลุ่มเดียว

            สรุป

            ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Theory of Cooperative or Collaborative Learning คือ  การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3 – 6 คน  โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน  ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้  การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นให้ผู้เรียนช่วยกันในการเรียนรู้ โดยมีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาอาศัยกันในการเรียนรู้  มีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด  มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม  มีการวิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม  และมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบงานร่วมกัน ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ควรมีการประเมินทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ  และครูควรจัดให้ผู้เรียนมีเวลาในการวิเคราะห์การทำงานกลุ่มและพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม  เพื่อให้กลุ่มมีโอกาสที่จะปรับปรุงส่วนบกพร่องของกลุ่มเดียว 


 ที่มา

รังสิมา วงษ์ตระกูล. https://www.gotoknow.org/posts/. [ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2561.
สยุมพร จุ๋ม ศรีมุงคุณ.(พ.ศ.2553). https://www.gotoknow.org/posts/341272. [ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อวันที่                              21 กรกฎาคม  พ.ศ.2561.
http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=294321. [ออนไลน์] เข้าถึงเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2561.




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม(Humanism)

เทคนิคและรูปแบบการจัดการเรียนรู้

สื่อและนวัตกรรมการเรียนการสอน